วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

รู้ทันปัญหาผม

ผม หมายถึงเส้นผมที่อยู่บนหนังศีรษะ มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียความร้อน และผิวหนังไม่ให้ได้รับอันตราย อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญต่อบุคลิกลักษณะของร่างกาย ซึ่งมีผลต่อจิตใจของคน ใครที่พบกับปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน ผมหงอก อาจก่อให้เกิดปัญหาทางใจ เช่น ซึมเศร้า ขาดความมั่นใจในตนเอง เป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เกิดกับใครก็คงไม่รู้

สาเหตุของปัญหาผม

...ผลิตภัณฑ์ดูแลผมภัยร้ายใกล้ตัวที่คุณอาจไม่รู้...

แชมพู

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาผม คือสิ่งใกล้ตัวท่านแต่ถูกมองข้าม นั่นคือ แชมพูที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำ แม้บางท่านจะบอกว่าท่านเปลี่ยนยี่ห้อไปอยู่เรื่อย ๆ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า สารทำความสะอาดที่ถูกผสมในแชมพูเกือบทุกยี่ห้อ (แม้ในแชมพูที่ผสมสมุนไพรและอ้างว่าจากธรรมชาติ) ส่วนใหญ่เป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ชะล้างรุนแรงและมีความเป็นด่างสูง เช่น โซเดียม ลอริล ซัลเฟต (Sodium lauryl sulfate; SLS) ซึ่งให้ฟองได้มาก ราคาถูก จึงเป็นที่นิยม ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั้งหลาย เช่นผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดพื้น สารเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ตกค้างสะสมและทำลายเซลล์ผม (รวมถึงรากผม เซลล์สร้างเม็ดสี และเส้นผม) และเซลล์ผิวหนัง เมื่อใช้บ่อย ๆ จะยิ่งกระด้าง แห้งแข็งเป็นไม้กวาด เริ่มหวีไม่อยู่ทรง และทำให้หนังศีรษะมันมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้เป็นสารชะล้างอย่างรุนแรง และจะชะล้างไขมันตามธรรมชาติ(ที่ช่วยเคลือบให้ผมมันเงา) จึงทำให้ร่างกายต้องขับไขมันออกมาชดเชยมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุของคนที่หนังศีรษะมัน ยิ่งสระผมหนังศีรษะก็ยิ่งมัน บางรายเกิดการระคายเคืองเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า ทำให้เกิดเป็นรังแค แต่ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงก็ซื้อแชมพูขจัดรังแคมาใช้ ซึ่งแชมพูประเภทนี้นอกจากจะมีสาร SLS แล้วยังผสมสารยับยั้งการเจริญเติบโตที่มากผิดปกติของเซลล์ชั้นหนังกำพร้า แต่ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เมื่อหยุดใช้อาการที่เป็นก็กลับมาเป็นอีก ทำให้เซลล์ผิวต้องสัมผัสกับสารเคมี และถูกกดการทำงานอยู่ตลอด ทำให้เป็นรังแคเรื้อรัง

ครีมนวดผม/ทรีทเม้นท์หมักผม

สำหรับผู้ที่ชอบให้ผมนิ่มลื่น อาจยังไม่รู้ถึงพิษภัยจากสารกลุ่มซิลิโคน (มักมีชื่อลงท้ายด้วย "thicone") เช่น ไซเมทธิโคน (Simethicone) ไดเอทธิโคน (Diethicone) หรืออื่น ๆ เป็นสารเคลือบเส้นผมทำให้ผมนิ่มลื่น เป็นมันวาว มีสปริง หวีง่าย แต่จะตกค้างเคลือบรูเส้นผม เมื่อใช้ต่อเนื่องนาน ๆ จะเกิดการสะสมอุดตันรูเส้นผม ทำให้เซลล์ผมทำงานผิดปกติ การขับของเสีย การดูดซึมสารอาหารลดลง และทำให้ผมร่วง เมื่อใช้ในระยะยาว

ที่เลี่ยงยากคือ สารเพิ่มฟอง เพิ่มความข้น ตัวฉกาจที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่ต้องใช้คือ DEA (ไดเอทธานอลาไมด์) ซึ่งเกรงกันว่าอาจก่อมะเร็ง จนในบางประเทศต้องให้ยกเลิกการใช้ สารอีกกลุ่มที่อาจก่อให้เกิดการแพ้จากการใช้เป็นประจำ แต่คนก็ชอบใช้คือ กลิ่นสังเคราะห์หอม ๆ สีสังเคราะห์สวย ๆ และลาโนลิน (Lanolin)

Demodex ไรขนที่คุณอาจไม่รู้

อีกสาเหตุหนึ่งที่คุณอาจไม่รู้คือ ไรขน (Demodex) ซึ่งติดต่อโดยการสัมผัส ตัวไรแพร่พันธุ์ อาศัยอยู่และแย่งกินสารอาหารที่รากผมทำให้ผมขาดสารอาหาร ผมจึงมี ขนาดเล็ก บางลง สีจางลง ขาดความมีชีวิตชีวา และหงอก นอกจากนั้นยังอาจทำลายโครงสร้างของเซลผม ทำให้ผมร่วง หรือ หงิกงอ

เมื่อตัวไรคืบคลานไปบนหนังศีรษะหรือผิว โดยเฉพาะเวลากลางคืนจะทำให้ท่านที่มีประสาทไว (Sensitive) รู้สึกคันยิบ ๆ ขณะเดินทางมันจะปล่อยของเสีย และทิ้งคราบที่ลอกออกมา ทำให้เกิดขยะบนหนังศีรษะ หรือผิวหนังของเรา ซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรีย ไวรัส และริกเก็ทเซียที่เกาะอยู่ตามข้อต่อเล็ก ๆ ของขาตัวไร จึงก่อให้เกิดการติดเชื้ออักเสบเป็น สิว หรือ ตุ่มแดง บนหนังศีรษะ และที่สำคัญ หากร่างกายเกิดการต่อต้านของเสียที่ตัวไรขับออกมา และซากตัวไรที่ตาย ทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ (Sensitization) เช่น แพ้เครื่องสำอาง สบู่ หรือแม้แต่เหงื่อของตัวเอง

และเนื่องจากที่ขาของตัวไรมีเล็บแหลมคมสำหรับเกี่ยว จึงทำให้ผิวหนังเกิดการ ระคายเคืองและมีปฏิกิริยาโต้ตอบ โดยการสร้างผนังเซลผิวชั้นนอกขึ้นอย่างรวดเร็ว (Proliferation of Epithelium) ทำให้ผนังเซลล์พอกหนาและหลุดร่อนออกมาเร็วกว่าปกติเกิดเป็น รังแค ขุย หรือ สะเก็ด บนหนังศีรษะ

from kapook.com

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

แก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับชีวิตคู่ 10 ประการ

คิดว่าสัมพันธภาพของคุณล้มเหลว เพราะคุณและคู่ของคุณทำไม่ได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นงั้นหรือ?

ผู้เชี่ยวชาญได้มาแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับชีวิตคู่ 10 อย่างที่พบกับบ่อย ๆ ซึ่งคุณควรเชื่อเสียใหม่

สัมพันธภาพที่ดีขึ้นอยู่กับความคิดที่เหมือนกัน

คุณจะไม่มีวันเห็นในสิ่งเดียวกับคู่ของคุณ เพราะคุณสองคนเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง และหญิงชายก็ถูกสร้างมาต่างกัน การพยายามที่จะทำให้มุมมองที่แตกต่างกันโดยพื้นฐานเช่นนี้เปลี่ยนไปเป็น เรื่องไม่ปกติ และอาจเป็นอันตรายได้ ฉะนั้น ชื่นชมยินดีกับความแตกต่างของคุณซะ

สัมพันธภาพที่ดีต้องการความโรแมนติกอย่างมาก

ใช่แล้ว ชีวิตรักของคุณควรมีความโรแมนติก แต่อย่าคาดหวังที่จะโรแมนติกเหมือนในหนังซึ่งไม่สมจริง ในโลกแห่งความเป็นจริง การอยู่กับคนรักไม่เหมือนกับการตกหลุมรัก การตกหลุมรักเป็นเพียงขั้นแรกของชีวิตรัก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในภาวะนี้ไปตลอด ความปั่นป่วนรัญจวนใจจะเปลี่ยนไปเป็นรักที่มั่นคงและล้ำลึก อย่าทำผิดพลาดด้วยการคิดว่า เมื่อความดูดดื่มจางไป แปลว่าคุณไม่ได้รักกันอีกต่อไป คำตอบไม่ใช่การเริ่มชีวิตรักครั้งใหม่ เพื่อที่คุณจะได้พบกับความรู้สึกปั่นป่วนรัญจวนใจเช่นนั้นอีกกับคนอื่น คำตอบก็คือการเรียนรู้วิธีการที่จะก้าวไปยังขั้นต่อไปของชีวิตรัก เพื่อประสบการณ์ที่แตกต่างแต่เต็มอิ่มกว่า

สัมพันธภาพที่ดีต้องแก้ปัญหากันได้ทุกเรื่อง

มันอาจมีหลายอย่างที่คุณกับคู่ของคุณไม่เห็นพ้องต้องกัน และก็จะไม่เห็นพ้องกันไปอย่างนั้นเรื่อยไป ทำไมคุณถึงแก้ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้เสียทีน่ะหรือ? ก็เพราะการจะทำเช่นนั้นได้ คุณคนใดคนหนึ่งอาจต้องเสียสละความเชื่อและค่า นิยมบางอย่าง แต่คุณสามารถที่จะเห็นไม่ตรงกัน แต่ปิดประเด็นทางอารมณ์ลงได้ ถึงแม้จะแก้ปัญหาไม่ได้ก็ตาม

สัมพันธภาพที่ดีต้องมีความสนใจร่วมกันที่จะผูกพันคุณไว้ตลอดกาล

ไม่มีอะไรผิดเลยที่จะเป็นคู่รักกัน แต่ไม่มีความสนใจหรือกิจกรรมร่วมกัน ถ้าคุณและคู่รักของคุณต้องผลักดันตัวเองเพื่อที่จะทำกิจกรรมร่วมกัน แต่ผลที่ได้ก็คือความเครียดและความขัดแย้ง ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนทำ

สัมพันธภาพที่ดีต้องสงบสุข

อย่ากลัวที่จะทะเลาะกัน เพราะคุณคิดว่ามันเป็นสัญญาณของความอ่อนแอและการแตกร้าว แม้แต่คู่รักที่เข้ากันได้ดีที่สุดก็ยังทะเลาะกัน ถ้าใช้มันอย่างถูกวิธี การทะเลาะกันสามารถช่วยสัมพันธภาพของคุณได้ แทนที่จะว่าคุณทะเลาะกันกี่ครั้งแล้ว วิตกในเรื่องที่คุณทะเลาะกันดีกว่า

ในสัมพันธภาพที่ดีคุณต้องสามารถระบายอารมณ์ได้ทุกอย่าง

การปลดปล่อยสิ่งต่าง ๆ ออกจากอกอาจรู้สึกดี แต่การระเบิดอารมณ์ในช่วงอารมณ์รุนแรง อาจทำลายสัมพันธภาพของคุณได้ เมื่อฝ่ายหนึ่งไม่อาจให้อภัยในบางอย่าง ที่อีกฝ่ายพูดออกมาในช่วงของการระเบิดอารมณ์ ก่อนที่คุณจะพูดอะไรบางอย่างที่อาจทำให้เสียใจ กัดลิ้นเอาไว้ก่อน และให้โอกาสตัวเองสักหน่อยเพื่อพิจารณาว่าคุณรู้สึกอย่างไรจริง ๆ ก่อนจะพูดอะไรออกไป

สัมพันธภาพที่ดีไม่เกี่ยวอะไรกับเซ็กซ์

ความเชื่อที่ว่าเซ็กซ์ไม่สำคัญเป็นเรื่องอันตราย และเป็นความเชื่อผิด ๆ เซ็กซ์ช่วยปลดปล่อยความกดดันจากชีวิตประจำวัน และให้เราได้พบกับประสบการณ์ของความใกล้ชิด และการแบ่งปันกับคู่ของเรา เซ็กซ์อาจไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ถ้าเซ็กซ์ไม่อิ่มเอม มันจะกลายเป็นประเด็นใหญ่ยักษ์ ในอีกทางหนึ่ง คู่รักที่มีชีวิตเซ็กซ์ที่สุขสม จะให้ความสำคัญของเซ็กซ์เพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง

สัมพันธภาพจะไม่สามารถอยู่รอดได้ ถ้าคู่ของคุณมีนิสัยแปลกกว่าคนอื่น

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ตราบเท่าที่ความแปลกประหลาดของคู่ของคุณ ไม่ใช่การทำร้ายหรือทำลายกัน คุณก็สามารถที่จะเรียนรู้ที่จะอยู่กับเขาได้ ลองนึกถึงคุณสมบัติที่ดึงดูดคุณในตอนแรก บางทีความแปลกประหลาดเหล่านี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์ของเขาก็ได้ แค่ต้องแยกแยะความแตกต่างระหว่างนิสัยแปลกๆ กับคนที่มีนิสัยบ่อนทำลายหรือทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะนี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่คุณควรเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วย

มันมีวิธีที่ถูกต้องและวิธีที่ผิดในการดำเนินชีวิตคู่

ไม่มีคำจำกัดความที่แน่นอนของวิธีที่ถูกต้อง ทั้งการเป็นคู่รักที่ดี หรือในการรับมือกับความท้าทายที่ถูกโยนเข้ามาหาคุณ ทำในสิ่งที่ได้ผลสำหรับคุณ แทนการทำตามมาตรฐานบางอย่างที่คุณอาจอ่านเจอในหนังสือ หรือได้ยินจากเพื่อนผู้หวังดี ถ้าสิ่งที่คุณและคู่ของคุณกำลังทำให้ผลที่คุณต้องการ ก็ทำต่อไป จำไว้ว่าไม่มีวิธีการที่ "ถูกต้อง" สำหรับใครสักคนที่จะรักคุณ

สัมพันธภาพของคุณจะดีได้ เมื่อคุณเปลี่ยนแปลงคู่ของคุณได้

อย่าเชื่อว่าถ้าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงคู่ของคุณได้ สัมพันธภาพของคุณจะดีขึ้น คุณเองก็มีส่วนรับผิดอบในสัมพันธภาพนี้ด้วยเช่นกัน เลิกคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่าการมีความรัก หมายถึงการพบใครสักคนที่จะรับผิดชอบต่อความสุขของคุณ คุณต้องรับผิดชอบต่อความสุขของคุณเองด้วย และถ้าสัมพันธภาพของคุณไม่ดีพอ บางทีคนที่ต้องเปลี่ยนอาจเป็นคุณก็ได้



from kapook.com

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

อาการปวดจากการนอนสระผม

อาการปวดที่ได้จากร้านตัดผม

การสระผมกับผู้หญิงเรียกได้ว่าเป็นของคู่กัน เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่ามันแสนสบายเวลานอนแหงนหน้า ทิ้งศีรษะลงไปให้น้ำอุ่นมาสัมผัส แต่ต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้หญิงทุกท่านจริง ๆ เพราะมีข้อมูลใหม่ ๆ มาบอกกันจาก พญ.ธนพร ลาภรัตนากุล แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

ว่าการนอนห้อยศีรษะแบบนี้ เป็นที่มาของการกดทับเส้นประสาทระดับคอ (Cervical Radiculopathy) และเรียกอาการดังกล่าวว่ากลุ่มอาการ "Salon Sink Syndrome"

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะกระดูกสันหลังส่วนคอของเรา จะมีช่องที่เป็นทางออกของเส้นประสาท ที่เชื่อมต่อไปที่กล้ามเนื้อของแขนกับมือ และช่องนี้จะแคบลงเมื่อเราแหงนหน้าหรือหมุนคอไปด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้กระดูกหรือหมอนรองกระดูกที่ยื่น มีโอกาสไปกดทับหรือเบียดเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการปวดชาตามแนวเส้นประสาท โดยมักจะปวดหรือมีอาการชาตั้งแต่ต้นคอ สะบัก แขน มือ

ถ้าใครมีอาการดังกล่าวลองพักก่อน ถ้าพักแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง ซึ่งก็มีการรักษาตั้งแต่รับประทานยา ทำกายภาพบำบัด ไปจนถึงการผ่าตัด แต่ถ้าป้องกันได้ก็น่าจะป้องกัน ซึ่งก็แค่เลี่ยงการไปนอนให้เขาสระผม แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องนอนห้อยศีรษะแบบนี้ ก็ลองหาท่าที่ไม่ทำให้ศีรษะต่ำกว่าระดับคอมากนัก คืออาจจะต้องยอมตัวเปียก แต่รับรองว่าแขนไม่ปวด

และแถมข้อมูลให้อีกนิดสำหรับผู้อ่านที่มีอายุมาก คุณอาจมีภาวะความเสื่อมของกระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกระดับคอ จะทำให้คุณมีกระดูกงอก หรือหมอนรองกระดูกยื่นเข้าไปในช่องของเส้นประสาทนี้ ซึ่งแปลว่าคุณอาจจะมีโอกาสเกิดอาการนี้ได้มากกว่า ดังนั้นควรจะใส่ใจกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้นค่ะ

from kapook.com

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

5 สุดยอดอาหารบำรุงผม

ผมสวยสุขภาพดีอาจไม่ได้เกิดจากการหมัก สระ หรือบำรุง เพียงอย่างเดียว จุดเริ่มต้นของผมสวยอย่างแท้จริงนั้นต้องเริ่มต้นจากอาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละวัน ผลการวิจัยล่าสุดของสถาบัน Cosmetic dermatology – The miller School of Medicine at the University Miami พบว่า อาหารบำรุงผม 5 ชนิด คือ แซลมอน ผักสีเขียว ถั่วเปลือกแข็ง ไข่ โฮลเกรน ซึ่งอุดมด้วย อัลฟ่า - ไลโนเลนิก โอเมกา - 3 ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินบี 12 ช่วยให้สภาพผมของกลุ่มทดลอง 100 คนที่กินอาหารดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี มีปัญหาผมหงอก แตกปลาย และผมแห้ง น้อยกว่าคนที่ไม่ได้กินถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ในมื้ออาหารถัดไปคุณจึงควรจัดเมนูที่อุดมด้วยอาหารเหล่านี้เพื่อปูทางสุขภาพผมดีไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

from kapook.com

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

8 อาวุธลับ เติมความสดใส

ถ้าคุณอยากดูสวยสดใสไปตลอดวันทำงาน หรืออยากจะแปลงโฉมจากสาวทำงานไปเป็นสาวสวยในงานปาร์ตี้ยามค่ำคืน เวลาที่ไม่มีเวลากลับไปเติมสวยที่บ้าน นี่คืออาวุธลับที่คุณควรมีติดลิ้นชักโต๊ะทำงานเอาไว้

1. คอนซีลเลอร์: เพื่อเอาไว้กลบรอยหมองคล้ำบริเวณใต้ตา รวมทั้งสิวและจุดด่างดำอื่นๆ

2. ลิปทิ้นท์: เพื่อใช้เติมสีสันบนโหนกแก้มและริมฝีปากให้ดูเป็นสีชมพูระเรื่อแบบธรรมชาติๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแสงไฟในยามค่ำคืนทำให้คุณดูซีดเซียวลง

3. แปรงสีฟัน: รวมทั้งยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากขนาดพกพาด้วย (ไม่บอกก็คงรู้นะว่าใช้ทำอะไร)

4. สเปรย์น้ำแร่: ไว้เติมความชุ่มชื้นและความกระปรี้กระเปร่าให้ผิว โดยไม่รบกวนเครื่องสำอางบนใบหน้า

5. ยาหยอดตา: โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีอาการตาแดงจากการจ้องคอมพิวเตอร์บ่อยๆ

6. ลิปบาล์ม: นี่เป็นสิ่งที่คุณควรพกติดตัวไว้เป็นประจำ เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก

7. ครีมทามือ: ไว้ทาเติมความชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน (และควรทำให้เป็นนิสัยด้วย)

8. มอยสเจอไรเซอร์: แบบซองหรือขนาดพกพา ไว้เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวในบริเวณที่แห้งกร้านจากเครื่องปรับอากาศ


from kapook.com

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

วิธีดูแลสุขภาพผมกับหน้าหนาว

เมื่อหน้าหนาวมาเยือน หลายๆท่านอาจเป็นกังวลกับปัญหารังแคกวนใจ หรือบางท่านต้องตกใจเมื่อผมที่เคยแข็งแรงกับร่วงจนต้องตกใจ
ศูนย์วิจัยและดูแลสุขภาพผม Jiva ขอแนะนำ วิธีดูแลสุขภาพผมกับหน้าหนาว ให้ท่านดูแลผมอย่างถูกวิธี

การสระผม

•ควรสระผมด้วยแชมพูอ่อนที่ปลอดสารเคมีตกค้าง หลีกเลี่ยงการใช้แชมพูที่ผสมสารเคมีที่มีฤทธิ์ชะล้างรุนแรงและมีความเป็นด่างสูง เช่น โซเดียม ลอริล ซัลเฟต (Sodium lauryl sulfate; SLS) ซึ่งให้ฟองได้มาก ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ตกค้างสะสมและทำลายเซลผม(รวมถึงรากผม เซลสร้างเม็ดสี และเส้นผม) และเซลผิวหนัง เมื่อใช้บ่อยๆผมจะยิ่งกระด้าง แห้ง แข็งเป็นไม้กวาด เริ่มหวีไม่อยู่ทรง บางรายเกิดการระคายเคืองเซลผิวหนังชั้นหนังกำพร้าทำให้เกิดเป็น รังแค
•ไม่ควรใช้น้ำอุ่นในการสระผม น้ำอุ่นทำให้ต่อมรากผมขยายและสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติไป ทำให้ผมแห้ง หยาบ กระด้าง และทำให้หนังศีรษะแห้ง เป็นรังแคได้

การดูแลเส้นผม

•ไม่เช็ดขยี้ผมด้วยผ้าหรือหวีผมแรงๆขณะที่ผมเปียก เพราะจะทำให้ผมอ่อนที่กำลังงอกใหม่หรือผมที่รากผมไม่แข็งแรงหลุดร่วงได้ง่าย
•ไม่ควรใช้ความร้อนเป่าผม หากจำเป็นควรเป่าโดยให้ใช้ลมเย็นหรือลมอุ่น(ไม่ร้อนจัด) ขนานกับผิวของหนังศีรษะ
•ไม่ออกแรงใดๆกับเส้นผมหรือหนังศีรษะ เช่นดึงผม หวีผมแรงๆ หรือถูนวดศีรษะอย่างแรงด้วยปลายนิ้วแบบวนก้นหอย (ให้ใช้ฝ่ามือกดคลึงเบาๆ ในกรณีที่ต้องการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต)
•หวีผมตามแนวเส้นผมด้วยหวีซี่ไม่ถี่เกินไป
•ควรหวีผมด้วยหวีไม้หรือหวีเขาควาย ที่ไม่ก่อให้เกิดไฟฟ้าสถิตซึ่งมักเกิดจากการใช้หวีพลาสติกหรือหวีโลหะ
•ไม่รัด รวบ ถักเปีย หรือม้วนผมแน่นเกินไปและไม่ยีผม
•ไม่ควรใช้เล็บเกาหนังศีรษะ อาจทำให้เป็นแผล ติดเชื้อโรค หรือเกิดการระคายเคืองหนังศีรษะ หากเกิดอาการคันให้ใช้การกดนวดอยู่กับที่แทน
•หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เซลเสื่อม อาทิเช่น ความเครียด แสงแดดจัด หรือสารเคมีรุนแรง เช่น น้ำที่มีคลอรีนสูง ยาย้อม(โกรกผม)ยากัดสีผม ยาดัดผม น้ำยาทำสีผมหรือน้ำยายืดผม

สุขลักษณะในการเลือกรับประทานอาหาร

•หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เสี่ยงต่อผมร่วง เช่นอาหารรสเผ็ดร้อนหรือเค็มจัด กระถิน ไก่ที่ฉีดฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ช็อกโกแลต ชีส แอลกอฮอล์ ผงชูรส เนย (ควรกินเนยบริสุทธิ์ที่เรียกว่า “เนยกี (Ghee)” จะดีกว่า)
•ควรรับประทานอาหารที่เสริมสร้างบำรุงผม และมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ประเภท
- อาหารจำพวก ผัก ผลไม้ และควรดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการขัดสี
- อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน เช่น มะขามป้อม ส้ม ฝรั่ง
วีทเจิร์ม อัลมอนด์ ถั่วต่าง ๆ น้ำมันพืช งาดำ(คั่วบด) ถั่วดำ ฟักทอง แครอท มะละกอ และเผือก

หมายเหตุ : วิตามินเอ หากรับประทานมากเกินอาจทำให้ผมร่วงได้
- ผักที่มีรสขม โดยเฉพาะ สะเดา มะระ ใบยอ ใบย่านาง บอระเพ็ด ใบปอ
- โปรตีน เช่น เต้าหู้ สาหร่าย ไข่
- แร่ธาตุ เช่น สังกะสี ไบโอติน ธาตุเหล็ก ทองแดง โครเมียม (พบมากใน Brewer’s Yeast)

การปฏิบัติตนทั่วไป

•หลีกเลี่ยงการสะสมของธาตุไฟ ซึ่งทำให้เกิดเซลเสื่อมสภาพ อันเป็นสาเหตุของผมร่วง ผมหงอก เช่น การนอนดึกเกิน 4 ทุ่ม ความโกรธ ความเครียด การรับประทานอาหารรสจัดและการมีเพศสัมพันธ์เกินควร
•งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
•ควรนอนศีรษะต่ำ(ไม่หนุนหมอนสูง) หรือยกเท้าขึ้นสูงกว่าศีรษะชั่วขณะ เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงได้ทั่วศีรษะ
•การอบไอน้ำที่อุณหภูมิสูงบ่อยๆจะทำให้ผมเสียหรือหลุดร่วงได้ หากทำการหมักด้วยสมุนไพรควรคลุมด้วยหมวกอาบน้ำทิ้งไว้ 10-30 นาที ก็อุ่นเพียงพอแล้ว
•กดนวด (โดยไม่ถู) ศีรษะบ่อย ๆ เพื่อให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และทำให้เซลผมเจริญเติบโตได้ดี

ข้อแนะนำเครื่องดื่มดูแลผม
สำหรับท่าน ที่มีปัญหาสุขภาพผม ผมร่วง ผมบาง แนะนำให้ดื่มน้ำมะพร้าว (อย่างน้อยวันละ 1 ลูก) น้ำคั้นมะเฟืองสด น้ำคั้นใบบัวบกสด หรือทานเป็นผลสด ใบสด ก็ได้ ปริมาณเท่าที่รู้สึกพอดี แล้วหยุดเว้นช่วงตามความเหมาะสม หากรับประทานหรือดื่ม มากเกินไปจะทำให้ร่างกายเย็น (หยิน) สังเกตได้จากอาการปวดในกระดูก ปวดบั้นเอว

ประโยชน์

•ลดธาตุไฟ
•เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน
•ล้างเลือดให้ไม่ข้น (ตามตำรับไทยโบราณ ไม่มีข้อพิสูจน์)
ผลที่ได้รับ

•ทำให้ผมร่วงน้อยลง ผมเงางามขึ้น


from cheewajit.com

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

เครื่องสำอางที่ไม่ทำให้เกิดสิว

ในขณะที่ใบหน้าของคุณกำลังเป็นสิวอยู่นั้น ใคร ๆ ต่างพากันลงความเห็นว่า สิวที่เป็น มีสาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ การแต่งหน้าเป็นประจำก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวขึ้นได้ เครื่องสำอางก็เป็นตัวการสำคัญอีกเหมือนกันที่ทำให้เป็นสิว

ดังนั้นเมื่อเครื่องสำอางเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว ซึ่งในบางครั้งคุณหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางไม่ได้ แต่เลี่ยงไปใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสิวได้





มอยส์เจอร์ไรเซอร์

โดยทั่วไปแล้วมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีส่วนผสมของไขมันอยู่สูง เช่น ลาโนลิน น้ำมันแร่ ปิโตเลียมเจล ไขมันเนย เพื่อเป็นการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ควรทาบาง ๆ ในส่วนที่แห้งจริง ๆ เท่านั้นอย่าทาให้หนาและทั่วใบหน้าเพราะจะทำให้รูขุมขนอุดตันได้





ครีมรองพื้น

เลือกประเภทที่ใช้น้ำหรือมีส่วนผสมของน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญ ครีมรองพื้นที่มีส่วนประกอบของ Resorcinol จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้สิวเหิมเกริมหนักขึ้นไปอีก ครีมรองพื้นที่มีส่วนประกอบของ Benzoyl peroxide หรือ Retin-A จะไม่ทำให้เกิดปัญหาสิวขึ้นบนใบหน้า และครีมรองพื้นที่มีส่วนผสมของสารกันแสงแดด ก็จำเป็นมากที่ช่วยลดอัตราการเกิดสิว





แป้งแต่งหน้า

แป้งแต่งหน้าชนิดที่โปร่งแสง (Translucent powders) จะมีส่วนผสมของน้ำมันอยู่ด้วย เพื่อช่วยทำให้สีผิวสดใสยิ่งขึ้น แต่จะเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิว ควรเลือกแป้งแต่งหน้าที่มีส่วนประกอบของ Walnutshell หรือ Talc ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในแป้งที่ใช้สำหรับเด็กทารก ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าจะทำให้รูขุมขนอุดตัน





บรัชออน

หลีกเลี่ยงชนิดครีมเพราะใช้วาสลินเป็นส่วนประกอบสำคัญ ควรเลือกใช้ชนิดที่เป็นฝุ่นอัดลงมาในรูปของตลับจะดีกว่า


from kapook.com

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

สวยด้วยเกลือ

หลายคนอาจจะเคยทราบกันมาบ้างแล้วว่า ดีเกลือฝรั่ง หรือ Epsom Salt (สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาค่ะ) สามารถใช้เป็นยาระบาย ถ่ายพิษเสมหะและโลหิตแล้ว ดีเกลือยังช่วยในการดูแลความสวยความงามของสาวๆ ได้แทบจะทุกส่วนของร่างกายเลยเดียวล่ะค่ะ



… ตามพี่เหมี่ยว มาดูกันดีกว่าค่ะว่าดีเกลือฝรั่งทำไรได้บ้าง


>>> ให้สาวๆ สามารถนำดีเกลือฝรั่งมาใส่ลงในน้ำอุ่นโดยผสมดีเกลือลงในน้ำอุ่น 2 ถ้วยตวง รอให้ละลายแล้วแช่ตัวลงไปในน้ำอุ่น ดีเกลือจะช่วยให้สาวๆ ผ่อนคลายได้ในระหว่างอาบน้ำ

>>> สาวๆ สามารถใช้ดีเกลือฝรั่งในการแช่เท้าเพื่อขจัดกลิ่นและทำให้ผิวหยาบๆ นุ่มลงได้ โดยสาวๆ ผสมดีเกลือ 1/2 ถ้วยตวงลงในอ่างน้ำอุ่น จากนั้นก็แช่เท้าให้สบายซักประมาณ 10-15 นาที หลังจากนั้นก็ล้างน้ำแล้วเช็ดให้แห้ง

>>> สาวๆ สามารถใช้ดีเกลือฝรั่งในการทำความสะอาดผิวหน้าได้ โดยให้ผสมดีเกลือครึ่งช้อนชาเข้ากับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าตามปกติที่สาวๆ ใช้กันอยู่ค่ะ หลังจากนั้นให้นวดเบาให้ผิวหน้าให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

สวยด้วยเกลือ


>>> สาวๆ สามารถนำดีเกลือฝรั่งมาพอกหน้าได้ด้วยนะคะ ถ้าสาวๆ เป็นคนที่มีผิวธรรมดาถึงผิวมัน ให้สาวๆ ทำมาสพอกหน้าโดยผสมบรั่นดี 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง นมผงแบบไร้ไขมัน 1/4 ถ้วยตวง น้ำมะนาว 1 ลูก และดีเกลือ 1/2 ช้อนชาเข้าด้วยกัน แล้วทาลงบนผิวที่เปียกหมาดๆ ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น แต่ถ้าสาวๆ เป็นคนที่มีผิวแห้ง ก็ผสมแครอทบดละเอียด 1/4 ถ้วย มายองเนส 1 1/2 ช้อนชา และดีเกลือ 1/2 ช้อนชาเข้าด้วยกัน ล้วทาลงบนผิวที่เปียกหมาดๆ ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น เช่นกันค่ะ

>>> สาวๆ สามารถใช้ดีเกลือขัดผิวกายได้ค่ะ แค่สาวๆ นวดดีเกลือหนึ่งกำมือลงบนผิวเปียกๆ โดยเริ่มจากเท้าขึ้นมา หลังจากนั้นก็อาบน้ำตามปกติ แค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้วค่ะ


สวยด้วยเกลือ

>>> สาวๆ สามารถใช้ดีเกลือในการลดความมันบนเส้นผมได้ค่ะ ถ้าเส้นผมของสาวๆ เป็นมันเยิ้ม วิธีแก้ง่ายๆ ก็คือเติมดีเกลือ 9 ช้อนโต๊ะลงในแชมพูสำหรับผมมัน 1/2 ถ้วย ทาส่วนผสมนั้นลงบนเส้นผมในขณะแห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น เทน้ำส้มสายชูที่ทำจากแอ๊ปเปิ้ลลงบนเส้นผมให้ทั่ว ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก

>>> ถ้าสาวๆ เป็นคนที่ใช้เสปรย์ฉีดผมเป็นประจำ สาวๆ สามารถใช้ดีเกลือฝรั่งล้างสเปรย์ฉีดผมได้ค่ะ เพียงแค่ผสมน้ำ 1 แกลลอน น้ำมะนาว 1 ถ้วยตวง และดีเกลือ 1 ถ้วยตวงเข้าด้วยกัน ปิดฝาทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นนำมาเทลงบนเส้นผมในขณะแห้ง ปล่อยทิ้งไว้ 20 นาที แล้วสระผมตามปกติ

>>> และถ้าสาวๆ เป็นคนที่มีเส้นผมลีบแบนติดหนังศรีษะ สาๆว สามารถเพิ่มความพองให้เส้นผมได้ด้วยการผสมคอนดิชันเนอร์ชนิดล้ำลึกเข้ากับดีเกลือในอัตราส่วนเท่าๆ กัน นำไปอุ่นให้ร้อน แล้วนำมาทาลงบนเส้นผม ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก เพียงแค่นี้ผมของสาวๆ ก็จะดูดีมีสุขภาพมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ


from dekd.com

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

เลือกสีบอกสไตล์ความเป็น'คุณ'

สีดำ >>> เป็นสีที่บ่งบอกถึงความมีอำนาจ ดูภูมิฐาน และดูเป็นผู้ดีมี รสนิยม (หรูหราไฮโซ) นอกจากนี้ยังเป็นสีที่นำไปแมทช์กับสีอื่นๆ ได้ง่าย แต่ผู้ที่จะใส่เสื้อผ้าสีดำนั้นต้องรู้จักเลือกแต่งให้เข้ากับเครื่องประดับ รองเท้า เมคอัพ ด้วยนะคะ



สีแดง >>> แน่นอนว่าเป็นสีที่เด่นและสะดุดตาเหลือเกิน นั่นเพราะสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความร้อนแรง เซ็กซี่ ดังนั้นคนที่ใส่จะต้องเป็น คนมั่นใจในตัวเอง แถมยังค่อนข้างเปิดเผยและมีลักษณะเป็นผู้นำ ความโดดเด่นของสีแดงใครเห็นก็ต้องหยุดมอง ถ้าหากสาวๆ ต้องการเป็นจุดสนใจ ใส่ชุดแดงออกไปเดินแถวเซ็นเตอร์พอยต์ หรือเอ็มโพเรียมได้เลย แต่อย่าใส่แดงทั้งชุดนะคะ เพราะจะดูน่ากลัวเกินไป



สีเหลือง >>> ถึงแม้จะเป็นสีที่ไม่ค่อยเตะตาใครต่อใครเหมือนสีอื่น แต่ความโดดเด่นของสีเหลืองก็บ่งบอกได้ว่า คุณเป็นสาวคนอารมณ์ดี ร่าเริง แจ่มใส และอ่อนโยน แต่สาวๆ อย่าได้ใส่ประเภทเหลืองแจ๊ดจนกลายเป็นส้ม เพราะสีส้มอาจเปลี่ยนบุคลิกจากสาว น้อยให้กลายเป็นสาวแกร่งในสายตาคนรอบข้างได้ในพริบตา



เลือกสีบอกสไตล์ความเป็น'คุณ'

สีฟ้า >>> เป็นสีที่ผสมระหว่างความอ่อนหวานและแข็งแกร่ง เป็นตัวแทนของความสดใสและ กระฉับกระเฉงได้อย่างลงตัว เพราะเหตุนี้สีฟ้าจึงค่อนข้างป็อปปูลาร์ในหมู่สาวน้อยสาวใหญ่ เพราะจะแต่งให้เท่หรือหวานก็ได้

สีเขียว >>> เป็นสีที่แสดงออกถึงความสุขุม เยือกเย็น ใกล้เคียงกับสีฟ้า แต่ในวงการแฟชั่นไม่ค่อย นิยมใช้สีเขียวกันเท่าำไหร่ ซึ่งพี่เหมี่ยวเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเหมือนกันค่ะ



สีม่วง >>> พูดถึงสีนี้ทีไรหลายคนก็จะชอบเหมาว่าเป็นสีแม่ม่ายทุกที ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้นเหตุของความคิดนี้มาจากไหน แต่สาวๆ dek-d.com รู้รึเปล่าคะว่าฝรั่งเค้ากลับมองว่า สีม่วงหมายถึง เสน่ห์อันแสนลึกลับ น่าค้นหา ประมาณว่าเป็นสาวรักสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ว้าวววว!!!

สีขาว >>> ใส สะอาด บริสุทธิ์ และสวยงาม ต้องยกให้สีขาว ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่แปลกใจ ว่าทำไมชุดแต่งงานถึงนิยมใช้สีขาวเป็นหลัก แต่ถ้าในชีวิตประจำวันหากวันไหนสาวๆ ลุกขึ้นมาใส่ขาว ล้วนก็ต้องสวมเครื่องประดับด้วย ไม่อย่างนั้นจะทำให้ทั้งเสื้อผ้าและคนใส่ดูจืดชืดเกินไป แต่ถ้าจะเอาไปใส่แมทช์กับสีอื่นก็ได้ เพราะสีขาวเข้าได้กับทุกสีอยู่แล้วค่ะ

สีชมพู >>> นุ่มนวล อ่อนหวาน คือ คุณสมบัติของสีชมพู ถ้าคุณไม่ใช่ สาวหวาน กุ๊กกิ๊ก น่ารักจริงๆ อย่าพยายามใส่ เพราะจะขัดกับ บุคลิกเอามากๆ เลยล่ะค่ะ

เลือกสีบอกสไตล์ความเป็น'คุณ'


นอกจากนี้แล้วในการเลือกใส่เสื้อผ้านั้น เราควรจะคำนึงถึงสีผิวและสีของเส้นผมของเราด้วยนะคะ … เคล็ดลับง่ายๆ ก็คือ เลือกสีเสื้อผ้าที่ตรงกันข้ามกับสีผิวและสีผม เช่น ผิวขาว สีผมและนัยน์ตาดำ ควรเลือกใส่ชุดสีอ่อนๆ สว่างสดใส เช่น เหลือง ฟ้า ชมพู ขาว ครีม พยายามหลีกเลี่ยงสีขุ่นๆ อย่างน้ำตาลหรือเทาเข้ม เพราะจะทำให้ดูหมอง ขาดความสดชื่น

ผิวขาว สีผมและนัยน์ตาสีน้ำตาล จริงๆแล้ว จะใส่ชุดอ่อนหรือสีเข้ม ก็ได้ แต่ถ้าให้ดีแนะนำว่าสีเข้มอย่าง สีแดง น้ำเงิน ม่วง หรือ ดำ จะสวยกว่า เพราะทั้งสีผมและผิวค่อนข้างสีอ่อน การใส่สีเข้มจะช่วยขับให้ผิวดูมีน้ำมีนวลขึ้น
from dekd.com

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

ผิวหยาบกร้านทำไงดี ?

มะนาว-น้ำตาลทราย ช่วยได้

ใครที่รู้สึกว่าผิวเริ่มหยาบกร้าน ทาครีมเท่าไหร่ก็ไม่หาย วันนี้มีวิธีลดความหยาบกร้านด้วยน้ำตาลมาฝาก...

วิธีแรก เริ่มด้วยการผ่ามะนาวเป็น 2 ซีก แล้วนำมาขัดที่รอยหยาบกร้านเบา ๆ หรือจะเปลี่ยนจากมะนาวเป็นมะขามเปียกก็ได้ แค่นี้รอยหยาบกร้านก็จะค่อย ๆ หายไป ควรทำสัปดาห์ละครั้ง หรือทุกครั้งที่มีเวลา และทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลดี

วิธีที่สอง คือ นำน้ำตาลทรายมาผสมกับเบบี้ออยล์ ทาที่ผิวหยาบกร้าน ทิ้งเอาไว้ 15 นาที หลังจากนั้นก็ใช้ใยบวบถูเป็นวงกลมเบา ๆ น้ำตาลจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกส่วนน้ำมันจะให้ความชุ่มชื่นกับผิว เสร็จแล้วอย่าลืมทาครีมบำรุงผิว โดยเลือกที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง ทาเป็นประจำ

ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้
from kapook.com

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

สาว ๆ นักช้อป หิ้วของหนักระวังนิ้วพัง

ฤดูท่องเที่ยวเช่นนี้ สำหรับสาวขาช้อปเวลาออกทริป สถานที่หนึ่งซึ่งจะพลาดเสียไม่ได้ไม่ว่าจะไปมุมไหนของโลกนั่นคือ แหล่งช้อปปิ้ง หากไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านถือว่ายังไปไม่ถึง บางคนอาจช้อปเพลินจนหิ้วของพะรุงพะรัง ซึ่งการหิ้วของหนัก ๆ เป็นเวลานาน ๆ นั้น บางครั้งจะรู้สึกปวด อาจเป็นสัญญาณก่อให้เกิดอันตรายต่อมือและนิ้วมือของคุณได้

นพ.กวี ภัทราดูลย์ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ เฉพาะทางศัลยกรรมทางมือและจุลศัลยกรรม ศูนย์ศัลยกรรมทางมือ รพ.เวชธานี เตือนผู้ที่ใช้มือทำงานเป็นเวลานาน ๆ เช่น การหิ้วของหนัก หรือการใช้มือยึดหรือถืออะไรนานต่อเนื่อง เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกเจ็บปวดบริเวณโคนนิ้ว ขณะที่มีการงอ หรือเหยียดนิ้วมือ เมื่อถูกกดจะปวดมากขึ้น บางรายอาจถึงขั้นมีก้อนของการอักเสบเล็ก ๆ ที่เคลื่อนไหวตามเส้นเอ็น

ถ้าหากก้อนการอักเสบมีขนาดโตขึ้น จะทำให้การเคลื่อนไหวของเส้นเอ็นลำบากมาก ขึ้นจนกระทั่งนิ้วมือติดอยู่ในท่างอ ไม่สามารถเหยียดได้ชั่วคราว การเคลื่อนไหวของนิ้วมือลำบากมากขึ้นโดยเฉพาะในตอนเช้า หรือตื่นขึ้นมาจะพบว่านิ้วมืออยู่ในท่างอ เหยียดไม่ออก ต้องใช้มืออีกด้านกางนิ้วออกเพื่อปลดล็อก ถ้าคลำดูบริเวณโคนนิ้วจะพบก้อนที่ทำให้มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย โดยนิ้วที่มักพบบ่อยที่สุดในการเกิดอาการนี้ คือ นิ้วหัวแม่มือ เพราะเป็นนิ้วที่มีการเคลื่อนไหวเป็นเอกเทศมากที่สุด

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ในกรณีที่เกิดอาการดังกล่าว

1. ใช้หัวแม่มือ "กดและคลึง" จุดที่เจ็บตั้งแต่โคนนิ้วด้านใน บริเวณฝ่ามือตามแนวของกระดูกไล่เรื่อยขึ้นไป จนถึงปลายนิ้ว ใช้เวลาประมาณ 2 นาที

2. ให้ใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือ "กดและจิก" ลงไปตรงจุดที่เจ็บ เพื่อส่งพลังไปที่จุดเส้นประสาทโดยตรง ซึ่งผู้ป่วยบางรายจะรู้สึกเหมือนมีลมออกที่หูได้ ใช้เวลาประมาณ 30 วินาที

3. ใช้หัวแม่มือ "กดและนวด" ลงบนจุดที่เจ็บรวมทั้งจุดต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ บริเวณจุดที่เจ็บด้วย ประมาณ 20 ครั้ง

4. ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับนิ้วตรงบริเวณที่เจ็บ จากนั้น "ดึงหรือกระตุก" ให้นิ้วงอลงมาด้านล่าง ให้ดันหงายขึ้นไปด้านบนสลับกันไล่ตามข้อนิ้วทั้งสามข้อ

5. ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบที่บริเวณนิ้ว หรือข้อที่มีอาการเจ็บหรือมีปัญหานิ้วล็อก เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดลมให้ปลอดโปร่งไม่ติดขัด หรือแช่มือในน้ำอุ่น

6. ออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อ หรือ Stretching Exercise โดยการดัดนิ้วในท่ารำละคร อาจทำประมาณ 20-30 ครั้ง หรือบ่อยเท่าที่ต้องการ

แต่ถ้าหากลองปฐมพยาบาลดูแต่อาการยังไม่ดีขึ้น กลับมาจากทริปคงต้องพบหมอกันแล้ว การรักษามีหลายแบบขึ้นอยู่กับความรุนแรง และระยะเวลาของโรค หากเป็นระยะเริ่มต้นจะได้ยาลดการอักเสบ เพื่อลดการหนาตัวของปลอกหุ้มเส้นเอ็น และลดอาการปวด ซึ่งจะได้ผลดีในระยะแรกคือเมื่อมีอาการน้อยกว่า 1 เดือน และยังไม่มีการล็อกของนิ้วในท่างอ

ถ้าปวดมาก หรือรับประทานยาแล้วอาการยังไม่ดีเท่าที่ควร แพทย์จะพิจารณาฉีดยา เพื่อลดการอักเสบ ซึ่งโดยทั่วไปอาการปวดจะหายไปใน 2-3 วัน แต่ถ้าหากมีอาการของนิ้วล็อกบ่อย ๆ โดยมีอาการปวดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ การรักษาโดยรับประทานยาหรือการฉีดยาอาจจะไม่ได้ผล แพทย์จะพิจารณาเรื่องการผ่าตัดแก้ไขให้เส้นเอ็นมีการเคลื่อนไหวกลับสู่ปกติ

การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด สามารถทำได้โดยการฉีดยาเฉพาะที่ และเปิดขยายปลอกหุ้มเอ็นเพื่อให้การเคลื่อนไหวของเส้นเอ็นเป็นปกติ โดยขณะผ่าตัดคนไข้จะไม่มีความรู้สึกเจ็บ และยังสามารถเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้วโดยใช้เวลา 10-15 นาที คนไข้สามารถเคลื่อนไหวนิ้วมือได้ทันที โดยจะมีแผลเป็น 2-3 รอยเย็บ ซึ่งไม่ควรโดนน้ำจนกว่าจะตัดไหมแล้ว ประมาณ 10-14 วัน

ในระยะเวลาผ่าตัด คนไข้จะไม่มีการเกิดนิ้วล็อกเลย เนื่องจากปลอกหุ้มเอ็นได้ขยายมากขึ้น และเส้นเอ็นทำงานปกติ และกลับไปใช้งานมือและนิ้วได้ตามปกติหลังผ่าตัด

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่สามารถเลี่ยงการใช้งานมือมาก ๆ เป็นเวลานาน นพ.กวี มีคำแนะนำดี ๆ มาฝาก เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการนิ้วล็อกได้ว่า หลังจากใช้งานมือเป็นเวลานาน ๆ ควรหยุดให้มือได้พักผ่อนบ้างเป็นระยะ ๆ ยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบ้างโดยดัดนิ้วท่ารำละคร เพราะต้องไม่ลืมว่า สาเหตุของอาการนิ้วล็อกมาจากการใช้งานที่ต่อเนื่องนั่นเอง
from kapook.com

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

5 วิธีป้องกันรองเท้ากัด

5 วิธีป้องกันรองเท้ากัด (Lisa)

ถ้าคุณต้องใส่รองเท้าส้นสูงไปงานเลี้ยงเป็นเวลานาน ๆ แล้วกลัวจะทำให้เท้าระบมเพราะโดนกัด ก็ลองใช้เคล็ดลับง่าย ๆ ในการป้องกันต่อไปนี้

1. ตับเล็บเท้าให้สั้นแล้วตะไบให้โค้งมน เล็บยาว ๆ อาจเข้าไปทิ่มในหัวรองเท้า เกิดรอยแตกจากแรงกด และทำให้นิ้วข้างเคียงเป็นแผลได้

2. ติดพลาสเตอร์ตรงด้านในรองเท้าช่วงที่ติดอยู่กับส้นเท้า เพื่อกันเอาไว้ก่อนในกรณีที่เกิดการเสียดสีมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดแผลพุพองได้

3. ใช้ตะไบขัดหนังด้าน ๆ ทางด้านนอกของนิ้วหัวแม่เท้า เพราะหนังด้าน ๆ นูน ๆ นั้นอาจทำให้เกิดแรงกด เมื่อสวมรองเท้าจนรู้สึกไม่สบาย หรือทำให้นิ้วเท้าดูผิดรูปได้

4.ถ้าคุณรู้ตัวว่าเท้าส่วนไหนจะเกิดการเสียดสีกับรองเท้า ก็ควรป้องกันไว้ซะก่อนด้วยการติดแผ่นกันรองเท้ากัดหรือพลาสเตอร์ไว้ในบริเวณนั้น

5. ลองสวมรองเท้าและ เดินไปรอบ ๆ ซัก 10 นาที เพื่อดูว่าเท้าจะเกิดการเคลื่อนไหวในรองเท้ายังไง จากนั้น ใช้แผ่นหนังบาง ๆ นิ่ม ๆ ปะติดในบริเวณที่เป็นปัญหาหรือมีช่องว่าง เพื่อช่วยให้เท้าเคลื่อนไหว ในรองเท้าได้อย่างมั่นคงขึ้น

from kapook.com

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

คนไทย จอประสาทตา เสื่อมก่อนวัย

ผิวคุณโดนทำร้าย ดวงตาก็โดนทำร้ายเช่นเดียวกัน แต่ละวันดวงตาต้องเจอสารพัดทั้ง แสงแดด ฝุ่นควัน ทำงานหน้าจอคอมพ์ ดวงตาต้องเกร็ง ตึงเครียด เหล่านี้เป็นตัวเร่งทำให้เกิดอนุมูลอิสระทำร้ายจอประสาทตาก่อนวัยอันควร





เราดูแลเอาใจใส่ผิวหน้าด้วยการทาครีมลดริ้วรอย ครีมกันแดด หลากหลายขั้นตอนเพื่อดูแลผิวหน้า และอีกหลายขั้นตอนเพื่อการควบคุมน้ำหนัก แล้วเคยดูแลสุขภาพตากันบ้างไหม



สาวๆรู้ไหมว่า อนุมุลอิสระ หรือ Free Radical ไม่ใช่แค่ทำร้ายผิวแต่ยังทำร้ายลึกถึงจอประสาทตา





มีการวิจัยพบว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ช่วยชะลอการเสื่อมของจอประสาทตาได้ เพราะในเบอร์รี่มีสารแอนโธไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานตรงต่อดวงตา พบมากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่





ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา



ป้องกันเซลส์ตาไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระ



ชะลอการเสื่อมของจอประสาทา



ช่วยในการมองเห็นในที่ๆมีแสงน้อย



ป้องกันการเกิดต้อกระจก



ช่วยในการไหลเวียนของเลือดในดวงตา ลดการเกิดเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติในจอตา สาเหตุที่ทำให้มองภาพไม่ชัดเจน





ดวงตาของเราต้องเจอสารพัดอย่าง ในแต่ละวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถป้องกันได้โดยเบอร์รี่ 7 ชนิด ดังนี้เลยจ๊ะ



เบอร์รี่ที่มีประโยชน์ต่อดวงตา





บิลเบอร์รี่ : ผลไม้สีน้ำเงินม่วง อุดมด้วยแอนโธไซยานิน ช่วยในการมองเห็น ป้องกันการเสื่อมของเลนส์ตาและจอประสาทตา





อะซาอิเบอร์รี่ : ถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกากลางและใต้แถบลุ่มน้ำอเมซอน มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยปกป้องเลนส์ตาและจอประสาทตา





แบลคเคอร์แรนต : ช่วยให้ตารับภาพในที่ๆมีแสงน้อยได้ดี เพราะเนื้อเยื่อในจอรับภาพจะใช้สารสีม่วงในแบลคเคอร์แรนตสังเคราะห์โรดอปซิน สารตัวสำคัญในการมองเห็น





แครนเบอร์รี่ : ช่วยบำรุงสุขภาพตา และยังมีผลงานวิจัยรับรองว่าช่วยป้องกันกระเพาะปัสวะอักเสบ





โช้คเบอร์รี่ : ช่วยปกป้องหลอดเลือด ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น




เอวเดอร์เบอร์รี่ : มีแอนโธไซยานินช่วยบำรุงดวงตา และยังมีประโยชน์ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน





สตรอเบอร์รี่ : ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ประสาทตา

from mthai.com

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

ป้องกันรักแร้ดำ

รักแร้ดำคล้ำ เป็นปัญหาใกล้ ๆ ตัวที่ทำให้คุณกังวลใจ และไม่กล้าที่จะใส่เสื้อโชว์วงแขนสวย ๆ ได้ ใครที่กำลังพบกับปัญหานี้อยู่ วันนี้มีวิธีแก้มาฝากค่ะ

หลีกเลี่ยงการเช็ดถูแรง ๆ บริเวณผิวใต้วงแขน

หยุดใช้สารเคมีที่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ เช่น ถ้าแพ้น้ำหอม ก็ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนชนิดที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมที่ระบุว่า "Fragrance-Free" โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน

ถ้าเกิดอาการดำมากหรืออาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์ทันที

หันมาลองใช้สูตรสมุนไพรธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ใต้วงแขนขาวเนียนดีกว่าสมุนไพรที่ทำให้วงแขนขาวเนียน

มะขาม แนะนำให้ใช้มะขามเปียกผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อยมาทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก นอกจากจะทำให้ผิวขาวใสแล้ว ยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้อีก

มะนาว นำมะนาวมาถูรักแร้ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วล้างออก ส่วนมะนาวที่เหลือยังใช้ถูตามข้อพับ หัวเข่า และข้อศอกที่ดำ ๆ ได้อีกด้วย

เกลือสปา ใช้เกลือขัดผิวถูเบา ๆ เน้นว่าเบา ๆ ไม่เช่นนั้นเกลืออาจจะบาดรักแร้เอาได้
from kapook.com

วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

ภัยสุขภาพสาวออฟฟิศ

มีนิสัยหลายอย่างที่สาว ๆ ออฟฟิศทำเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจเป็นบ่อเกิดของโรคภัย อย่างเช่น 9 นิสัยต่อไปนี้

1.ไม่รักษาความสะอาดคอนแท็คท์เลนส์ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ก็ห้ามนอนหลับโดยไม่ถอดคอนแท็คท์เลนส์ นอกจากนี้ ไม่ควรใช้เกินระยะเวลาที่ระบุไว้ และควรเปลี่ยนตลับใส่ทุกเดือน เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค

2.หิ้วกระเป๋าหนักเกินไป การหิ้วกระเป๋าหนัก ๆ ทำให้ปวดไหล่ ปวดคอ ลามไปจนถึงศีรษะและปวดหลัง วิธีถือหรือสะพายกระเป๋าที่ถูกต้องคือ รักษาระดับของศีรษะและไหล่ไม่ให้เอียง

3.ไม่ใส่รองเท้าส้นสูงเกินไป การใส่ส้นสูงมาก ๆ เหมือนยืนเขย่งตลอดเวลา ทำให้เส้นเลือดขอด กล้ามเนื้อน่องทำงานหนัก ระหว่างนั่งทำงาน บริหารร่างกายอย่างง่ายได้โดยนั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น เหยียดเข่าขึ้นพร้อมกระดกเท้าขึ้น-ลงเพื่อยืดน่องก็ทำให้หายเมื่อยได้

4.นั่งผิดท่า เมื่อกล้ามเนื้อเกร็งค้างอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ ส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายตัว เมื่อยล้า ควรหมั่นสังเกตท่านั่งของตนเอง และเปลี่ยนอิริยาบถทุกครึ่งชั่วโมง ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายบ้าง

5.ใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ยาแต่ละประเภทมีวิธีการใช้แตกต่างกัน ก่อนซื้อยาควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง และเลือกร้านที่มีเภสัชกรเพื่อสอบถามวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง และข้อควรระวังต่าง ๆ

6.กลั้นปัสสาวะ การปัสสาวะนอกจากขับของเสียออกจากร่างกาย ยังเป็นการชำระล้างเชื้อโรคที่ปนเปื้อนตามท่อปัสสาวะอีกด้วย การกลั้นปัสสาวะ โอกาสที่จะเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากเชื้อโรคที่ไม่ถูกชำระล้างก็มีมากขึ้น

7.ละเลยการตรวจร่างกาย การไปพบแพทย์เมื่อมีความผิดปกติทางร่างกายหรือมีอาการเจ็บป่วย ทำให้มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ เนื่องจากบางโรคกว่าจะแสดงอาการก็อยู่ในขั้นรุนแรงแล้ว หากมีสุขภาพแข็งแรง แนะนำให้พบอายุรแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดทุก 3 ปี

8.ไม่ใช้ไหมขัดฟัน เพื่อสุขภาพของอนามัยที่ดีของช่องปาก ควรแปรงฟันและใช้น้ำยาบ้วนปากร่วมกับไหมขัดฟัน

9.พักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพอนอกจากจะทำให้เบลอ หงุดหงิดง่าย ยังส่งผลต่อปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง อ้วน และภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ควรงดกาเฟอีนและบุหรี่ 6 ชั่วโมงก่อนนอน

from kapook.com

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับการบำรุงผิวหน้าด้วยผลไม้

เริ่มจาก นำมะละกอสุกบดละเอียดประมาณ 2 ช้อนชา พอกหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเป็นประจำวันละครั้ง ผิวหน้าจะเนียนขึ้นและช่วยลดริ้วร้อย


โลชั่นน้ำผลไม้ นำน้ำแตงกวา น้ำมะเขือเทศ น้ำมะนาว และน้ำแตงโม อย่างละ 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน จากนั้นใช้สำลีแต้มส่วนผสมเช็ดเบาๆให้ทั่วใบหน้า เพื่อช่วยสมานผิวและกระชับรูขุมขนแทนการใช้โทนเนอร์







มอยส์เจอไรเซอร์น้ำผึ้ง ใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา อุ่นด้วยไฟอ่อนๆ ประมาณครึ่งนาที จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงเช็ดออกแล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ผิวหน้าเนียนนุ่มขึ้น วิธีนี้ยังช่วยกำจัดสิวหัวดำอีกด้วย


สุดท้าย โลชั่นน้ำนมผสมเปลือกกล้วยหอม ใช้เปลือกกล้วยหอมสุก 1 ผล ล้างให้สะอาดแล้ว หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมน้ำนมสดลงไปประมาณครึ่งถ้วย บดให้ละเอียดเข้ากัน ใช้แทน โลชั่นสำหรับผิวแห้งหรือเกรียมแดด ทั้งยังช่วยขจัดฝุ่นละออง ที่คั่งค้างอยู่ตามผิวหน้า ด้วยโลชั่นน้ำนมเปลือกกล้วยนี้สามารถเก็บใส่ขวดแช่ในตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้


from kapook.com

29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์

คงไม่มีผู้หญิงคนไหนปรารถนาที่จะมีตีนกาอยู่บนใบหน้าเป็นแน่ แต่เพราะตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรื่องของริ้วรอยเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้!!

อยากให้ริ้วรอยลดเลือนลงไป แถมมีกระดูกที่แข็งแรง และมีพลังมากกว่านี้บ้างมั้ยล่ะ ลองเติมสุดยอดอาหารเหล่านี้ลงในเมนูของคุณดูสิ...

สดใสดูอ่อนกว่าวัย Stay looking young

เพียง แค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย

1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ด

สีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู

2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิ

แดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพ

เล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริก

แดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาล

จากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก

3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามิน

เอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ

แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว

4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัย

อันควร ลองโรยวอลนัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ

5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของ

เลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและ

อบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค

6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้อง

ผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บด

อะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้

7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็ง

แรงของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดงสดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับ

เกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย

8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะ

ในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผัก

กรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว

ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลด

อาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือ

นมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรก

สาว Stay feeling young

10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย

ล้างพิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหาร

ไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว

11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัด

อีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่

ไว้ทาไก่หรือเนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน

12. ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่าง

กายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำ

ปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ

13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียน

ของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูก

เต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติ

แปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง

14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่ง

เป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไป

บนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า

15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของ

ระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และ

อัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย

16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหาร

อย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจาก

นี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย

17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีส

ที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังช่วย

เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถ

หุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้

18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมี

คุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลัก

แหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็

อร่อยไม่เบา

แข็งแรงได้ใจ Stay healthy!

จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรค

ภัยไข้เจ็บต่างๆ ดีขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของ

คุณลดน้อยลง ลองอาหารพวกนี้ดูสิ

19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับ

ความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับ

โยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี

20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยว

คะน้า จากการวิจัยพบว่าสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม

ได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืม

ทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)

21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียม

ที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผัก

โขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาด

แคลเซียม

22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่

สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลว

แล้วไปแช่เย็นดูสิ

23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้น

เลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่อง

โรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าว

สวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา

24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการ

เกิดโรคหัวใจได้ถึง20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวด

ตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว

25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็ง

รับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง

26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับ

ไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัด

หรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ

27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น

สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายัง

ช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่าง

ราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี

28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิด

มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วย

ให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะเลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงใน

อาหารอะไรบ้าง

29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

ทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ

ใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว

from dekd.com

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับหน้าใสได้ด้วย "การล้างหน้า"

ล้างหน้ายังไงบ่อยแค่ไหนถึงจะดี >>> จริงๆ แล้วการล้างหน้านั้นทำเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอค่ะ ล้างแค่ตอนตื่นนอนตอนเช้าและอาบน้ำตอนเย็นก็เพียงพอ ไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไปเพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้งลอกได้ แต่ถ้าผิวหน้าของสาวๆ สกปรกจริง ๆ เช่น หลังเล่นกีฬา หรือหลังจากกลับจากโรงเรียน ก็อาจจะเพิ่มการล้างหน้ารอบพิเศษอีกได้ค่ะ แต่สิ่งที่สาวๆ ควรระวังคือ อย่าใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนล้างหน้านะคะ เพราะจะทำให้ผิวแห้งและแลดูเหี่ยวๆ อีกต่างหาก นอกจากนี้วิธีการล้างหน้าที่ดีคือ สาวๆ แค่ลูบไล้แต่เบามือ ไม่เช็ด ไม่ถู ไม่อย่างนั้นผิวหน้าอาจจะถลอกได้นะคะ


เคล็ดลับหน้าใสได้ด้วย "การล้างหน้า" สิ่งที่สาวๆ มักจะเข้าใจผิดในเรื่องของการล้างหน้า >>> หลายคนอาจจะคิดว่าการขัดหน้าให้ชั้นผิวหนังเก่าลอกออกมานั้นจะทำให้ผิวหน้าขาวใส แต่จริงๆ แล้ว ชั้นผิวหนังเก่าหรือชั้นขี้ไคลก็คือ ชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ทั้งขี้ไคลทั้งน้ำมันไม่ใช่สิ่งสกปรกอย่างที่หลายคนเข้าใจผิดนะคะ แต่ว่าเป็นเกราะที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละอองเชื้อโรคและสารเคมีไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิวต่างหากค่ะ


ถ้าสาวๆ เช็ดถู ล้างหน้าจนเกลี้ยง ชั้นน้ำมัน ชั้นขี้ไคลก็ไม่เหลือ ผิวหน้าของสาวๆ ก็จะเหมือนขาดเกราะคุ้มกัน ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ลองสังเกตดูสิคะว่าคนที่ล้างหน้าบ่อยๆ หรือใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า มักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย กลายเป็นผิวบอบบางหรือผิวแพ้ง่ายไปเลยล่ะค่ะ


แล้วถ้าเกิดอาการผิวแพ้ง่ายแล้วเราจะดูแลยังไง >>> วิธีแก้ผิวแพ้ง่ายก็ทำได้ไม่ยากเลยล่ะค่ะ แค่สาวๆ ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด อาการผิวแพ้ง่ายก็จะหายไปเองค่ะ แต่ถ้าสาวๆ แต่งหน้า และเครื่องสำอางค์ที่ใช้ไม่ได้กันน้ำสาวๆ สามารถเลือกใช้สบู่เจลใสอ่อน ๆ ของเด็กได้นะคะ หรืออาจะเลือกประเภทที่ไม่มีฟอง ไม่มีน้ำหอมก็ได้นะคะจะได้ไม่ระคายเคือง ที่สำคัญเวลาล้างก็แค่เอาน้ำลูบไล้ ๆ เจลใสหรือโฟมที่ไม่มีฟองเหล่านี้เบาๆ ทั่วหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอย่างเบามือ




ส่วนหลังล้างหน้าก็ให้ซับเบาๆ ไม่เช็ด ไม่ถูผิว ผิวจะได้ไม่หยาบกร้านและไม่ต้องใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าหรอกนะคะ หากล้างหน้าเสร็จแล้ว สาวๆ ยังรู้สึกลื่นๆ เหมือนล้างหน้าไม่เกลี้ยง ให้สาวๆ ซับหน้าเบาๆ ด้วยผ้าขนหนู แค่นี้ก็สะอาดแล้วล่ะค่ะ


from dekd.com

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

toeic

หลายๆบริษัท มักจะใช้ข้อสอบโทอิก
เปนการวัดความสามารถด้านภาษาอังกิดของพนักงาน

ศูนสอบที่กรุงเทพ ก้อยุแถวอโศก
ตึกข้างๆ ตึกแกรมมี่น่ะเอง

ทำไมไม่เหนเจอดาราบ้างเลย ฮ่าๆๆ
ข้อสอบเหมือนจะไม่ยากนะ
แต่ว่าทำไม่ได้ เดาเยอะเลย
ไม่ได้เตรียมตัวไปสอบ ก็ยังงี้แหละ
ครั้งแรก จำไว้

เค้าน่าจะทำกระดาษข้อสอบเปนกระดาษ กรีนรีดนะ
ปวดตา ชะมัดเลย พอทำไปเรื่อยๆ

สุดท้าย ก้ผ่านมันไป

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

ผู้หญิงกับลิปสติก

ไม่มีเมกอัพชิ้นใดเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงได้เหมือนลิปสติก

ผู้หญิงตะวันตกอายุระหว่าง 20 - 35 ปี 97 คนใน 100 คนจะทาลิปสติก และผู้หญิงพอได้ลองทาลิปสติกร้อยทั้งร้อย เธอมีลิปสติกมากว่า 1 สี เป็นอะไรที่สีเดียวไม่เคยเพียงพอ 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงตะวันตกจะมีลิปสติกมากกว่า 10 แท่ง แสดงว่ามีเสน่ห์อะไรบางอยางซ่อนอยู่ในลิปสติก

คุณยังจำความรู้สึกแรกที่เข้าไปขโมยลิปสติกแม่มาหาได้ไหม แม้คุณจะหัดทาลิปสติกตั้งแต่อายุไม่ชน 10 ขวบ แต่นั่นเด็ก ๆ จูบเด็กจูบผู้ใหญ่เหมือนกันที่ไหน ผู้หญิงเต็มสาวทาลิปสติกนี่คนละเรื่องกับเด็กทาเลยนะ เทคนิคของผู้หญิงสาวแล้วนี่มีเยอะมาก

ริมฝีปากนุ่ม

เริ่มจากริมฝีปากนุ่มๆ อื่นๆ ลงเพียงลิปกลอสเซ็กซี่แล้ว ผู้หญิงริมฝีปากสวยๆ เธอลงลิปบาล์ม ลิปมันหรือวาสลีนอย่างใดอย่างหนึ่งวันละหลายรอบ ทุก 2 ชั่วโมงก็ว่าได้ เพื่อให้ริมฝีปากอิ่มชุ่มชื้นอยู่เสมอ ผู้หญิงปากแห้ง ชวนให้เศร้ามากกว่าชวนให้ใครมารัก

และถ้าคุณไม่คิดจะซื้อซีรั่มบำรุงริมฝีปาก ให้ใช้ครีมบำรุงผิวเนื้อข้นๆ คลึงริมฝีปาดก่อนเข้านอน เพราะถ้าคลึงกลางวัน คุณอาจเลียกินหมด แต่ตกกลางคืน นี่เป็นวิธีกระตุ้นริมฝีปากอิ่มเนียนที่ได้ผลมาก

ริมฝีปากเนียน

ขัดริมฝีปากสองอาทิตย์ครั้ง (แต่ถ้าคุณมีปัญหาปากเปื่อย ปากนกกระจอก ก็ข้ามไปได้เลย อย่าคิดถึง ด้วยการนวดวาสลีน ปิโตรเสี่ยม เจลลี่ให้ทั่วริมฝีปาก ใช้แปรงสีฟัน เด็กขนอ่อนนุ่มสุดๆ ขัดทั้งแห้งๆ เบาๆ หรือจะใช้ผ้าขนหนูขึ้นน้ำขัดวนเบาๆ ที่ริมฝีปากให้ทั่วๆ ก็ได้

ริมฝีปากอวบอิ่ม

นางแบบที่ริมฝีปากซีดเซียวเมกอัพอาร์ทิสต์จะสั่งให้เธอใช้วาสลีนริมฝีปากและใช้ปลายนิ้วบีบผิวริมฝีปากเบาๆ สัก 5 นาที เพื่อให้ริมฝีปากตึงและอวบอิ่มขึ้นก่อน แล้วจึงค่อยบรรจงทาสีลิปสติก

ริมฝีปากอินโนเซนต์

ให้ลงลิปกลอสถ้าต้องการริมฝีปากที่ดูสุขภาพดี ใสๆ

• เริ่มจากใช้ดินสอเขียนขอบปากสีใกล้เคียงกับสิริมฝีปากตามธรรมชาติ เขียนที่เส้นขอบปาก (อย่ากดดินสอให้เป็นเส้นหัก เพียงขีดให้เป็นเส้นต่อเนื่องตามแนวขอบปาก)

• จากนั้นใช้ด้านข้างของเนื้อดินสอเติมริมฝีปากให้เต็มแล้วใช้ก้านสำลีแตะริมฝีปากเบาๆ เพื่อให้เนื้อดินสอกลมกลืน

• สุดท้าย ใช้ปลายนิ้วแตะลิปกลอสเนื้อสีใสๆ ลงกึ่งกลางริมฝีปากล่าง แล้วแม้ริมฝีปากเข้าหากัน

ริมฝีปากเซ็กซี่

เลือกลิปสติกเนื้อครีมหรือเนื้อด้าน (Matt) สีสันจัดจ้าจะให้ลุคที่เซ็กซี่กว่าลิปกลอสหรือลิปสติกสีโปร่งๆ ใสๆ

• เริ่มจากใช้ดินสอวาดขอบปากและเกลี่ยเนื้อดินสอให้เนียนทั่วริมฝีปาก ไม่ควรวาดแนวกระจับริมฝีปากให้แหลมนักจะทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ ผ่อนริมฝีปากขณะวาดและกดปลายดินสอกับหลังมือก่อนวาด เพื่อเส้นที่วาดจะได้ไม่ดูแข็งและคมจนเกินไป

• ใช้พู่กันเติมลิปสติกสีสันจัดจ้าให้ทั่ว

• ลอกกระดาษทิชชู 1 แผ่นบางๆ กดซับที่ริมฝีปาก จากนั้นลงลิปสติกทับอีกครั้ง

ความลับของดินสอเขียนขอบปาก

เหตุผล 3 ประการที่ช่างแต่งหน้าขาดดินสอเขียนขอบปากหรือลิปไลเนอร์ไม่ได้ก็คือ

ประการที่ 1 แค่ใช้ลิปไลเนอร์วาดรูปปากให้ปริ่มเส้นขอบปากตามธรรมชาติ ริมฝีปากก็ดูอิ่มเต็มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ ริมฝีปากอิ่มๆ สื่อถึงความอ่อนเยาว์

ประการที่ 2 การใช้ลิปไลเนอร์วาดเส้นขอบปากแล้ว ลงให้ทั่วริมฝีปากก่อนใช้พู่กันลงลิปสติกสีที่ชอบ ช่วยให้สีลิปสติกติดทนและเนื้อลิปสติกไม่เปลี่ยนนานขึ้น 2-3 เท่าตัว

ประการที่ 3 แค่คุณเปลี่ยนรูปเส้นขอบปาก บุคลิกคุณจะดูแปลกไป และการเปลี่ยนสุดของเส้นริมฝีปากต้องอาศัยดินสอเขียนขอบปาก

ไม่เชื่อ คุณลองใช้ลิปไลเนอร์วาดเส้นจากขอบด้านในริมฝีปากบนให้ออกเป็นแนวโค้งช่วงรอยกระจับเยอะๆ อิ่มๆ แล้ววาดเส้นริมฝีปากล่างจากขอบด้านในให้บรรจบตรงกลางในลักษณะเส้นโค้ง ใช้พู่กันเติมลิปสติกเนื้อครึมให้เต็มริมฝีปากจะดูอิ่มคล้ายกุหลาบตูม แตกต่างจากวาดเส้นตามแนวริมฝีปากธรรมดาหรือวาดเส้นชิดขอบปากด้านในริมฝีปากจะดูเล็กกว่าวาดเส้นชิดขอบปากด้านนอก

from kapook.com

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

ทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้า

เริ่มจากเอาฝุ่นแป้งออกจากแปรงแต่งหน้าให้ได้มากที่สุด หากเป็นแปรงทาลิปสติกให้ใช้กระดาษทิสชูเช็ดคราบลิปสติกออกจากขนแปรงก่อน จากนั้นนำแปรงลงล้างในน้ำสบู่ที่ผสมกับน้ำอุ่น

โดยบีบขนแปรงไปด้วย เพื่อให้ฝุ่นแป้งหลุดออกจากแปรง แนะว่าไม่ควรแช่แปรงทิ้งไว้ในน้ำนาน ๆ เพราะน้ำอาจซึมเข้าไปในปลอกทำให้แปรงอับชื้น เสร็จแล้วนำแปรงมาล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาด จนน้ำสบู่ออกหมด บีบน้ำออกจากขนแปรง และสะบัดแปรงเพื่อให้สะเด็ดน้ำ สุดท้ายนำแปรงไปผึ่งให้แห้ง

from kapook.com